วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
Neurobics ออกกำลังสมองเพื่อความฉับไว
หลายต่อหลายคนมักจะคิดถึงการมีสุขภาพกายที่ดีเป็นอย่างแรก จึงละเลยหรือลืมฝึกสมองในแง่ของความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ วันนี้เรามี 10 วิธีการฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณ ด้วย “นิวโรบิกส์” โปรแกรมที่เปรียบเสมือน การฝึกยิมนาสติกให้กับสมอง จะช่วยบริหารเซลล์สมองให้สดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ
1. หลีกหนีความจำเจ
การหลีกหนีความจำเจ เป็นแก่นแท้ของแนวคิดนิวโรบิกส์ เพราะการทำอะไรซ้ำๆ นอกจากจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายแล้ว สมองก็รู้สึกเบื่อได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงควรแสวงหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแต่จะสามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการผ่อนคลายหายเครียดจาก งานประจำได้ค่ะ
ที่มาจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Neurobics.htm
2. ไม่สูดกลิ่นเดิมๆ ซ้ำๆ
ทุกเช้าเมื่อได้กลิ่นกาแฟเดิมๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ถ้าจมูกคนเราได้รับกลิ่นเดิมๆ บ่อยเข้า จะทำให้จมูกและประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้นได้ค่ะ อีกทั้งการรับกลิ่นอื่นๆ ก็จะด้อยคุณภาพลงไปด้วย3. รับรสสัมผัสใหม่ๆ
ตอนที่คุณอาบน้ำในอ่างหรืออาบแบบฝักบัว ลองแกล้งลืมถูสบู่ เจลอาบน้ำหรือแชมพูดดูสักครั้งสิคะ อาจจะทำให้การรับรสสัมผัสทางกายดีขึ้นได้4. เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว
คนถนัดมือขวา ก็หันมาลองใช้มือซ้ายดูบ้าง หรือหากถนัดซ้าย ก็ลองใช้มือขวาแทน ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน หรือเขียนหนังสือ ซึ่งการได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่างๆ แอ็กทีฟขึ้น แล้วคุณก็จะพบว่าการได้ทำอะไรกลับด้านนั้นมันไม่ยากเย็นเหมือนที่คิดไว้เลย5. หาทางเดินใหม่ ๆ
พยายามหาทางใหม่ๆ เดินเล่น หลีกหนีเส้นทางเก่าที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางไปออฟฟิศหรือทางกลับบ้าน ทำไมไม่ลองเดินผ่านสวนสาธารณะ หรือเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นที่ไม่เคยไปดูบ้างล่ะคะ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้สมองของคุณได้มีโอกาสคิดแล้ว คุณยังได้พบกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย6. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การจัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หาที่แขวนรูปและนาฬิกาใหม่ หรือการพบปะผู้คนใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้ค่ะ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ง่ายนัก แต่คุณจะค่อยๆ ชินไปเอง การปรับเปลี่ยนแบบนี้ทำให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานทางด้านความคิดสร้างสรรค์มี พัฒนาการที่ดีกว่าเดิมนะคะ7. เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น
ขณะที่พูดโทรศัพท์หรืออ่านหนังสือควรสูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์หรือกลิ่นมะนาว เพราะกลิ่นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้นค่ะ8. รับประทานอาหารรสชาติแปลกๆ ทุกๆ วัน
ถ้ามีการรับประทานอาหารที่แปลกไปจากเดิม จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองไปทางอาหารที่ร้านอาหารเวียตนาม ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดียดูบ้างสิคะ กลิ่นและรสชาติของอาหาร ที่แปลกแตกต่างไปจะพลอยทำให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ไปท่อฤงเที่ยวในสถาน ที่แปลกใหม่นั้นด้วย9. ปิดประสาทรับเสียง
ลองใช้สำลี หรือที่อุดหูโดยเฉพาะ เพื่อฝึกใช้แต่ประสาททางสายตาและทางจมูกดูสักพัก ไม่แน่นะคุณอาจค้นพบความสามารถพิเศษแปลกใหม่ที่คุณไม่คิดว่าจะมีอยู่ในตัว เองก็เป็นได้10. ใส่ใจในสัมพันธ์แห่งรัก
การหมั่นเติมความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับชีวิตคู่ของคุณอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะที่มาจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Neurobics.htm
อยากสูงและฉลาดต้องนอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
แต่สำหรับเด็ก ๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้มากกว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กประถมต้น (อายุ 6-8 ขวบ) ควรนอน 11 ชั่วโมง เด็กประถมปลาย (อายุ 9-11 ขวบ) ควรนอน 10 ชั่วโมง เด็กมัธยมต้น (อายุ 12- 14 ปี) ควรนอน 9.25 ชั่วโมง เด็กมัธยมปลาย รวมทั้ง ปวช. (อายุ 15-17 ปี) ควรนอน 8.5 ชั่วโมง
การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของเด็ก ๆ เติบโตสูงขึ้น เพราะในเวลาที่เด็ก ๆ นอนหลับสนิท ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ growth hormone ออกมา ถ้าเด็กนอนไม่พอ growth hormone จะถูกหลั่งออกมาน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ตัวเตี้ย ไม่สูงเท่าที่ควร
นอกจากนี้การนอนไม่พอยังส่งผลให้การเรียนตกต่ำ เนื่องจากความง่วงนอนทำให้การรับรู้ ความเข้าใจ สมาธิ การเรียนรู้สิ่งใหม่ การแก้ปัญหา และความจำลดน้อยลง
การนอนไม่พอยังทำให้เด็ก ๆ มีอารมณ์รุนแรง มีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด ภูมิต้านทานต่ำ และเจ็บป่วยง่าย
ในวารสาร Archives of Internal Medicine ฉบับ วันที่ 18 ก.ย. 2549 ได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงการนอนหลับของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจาก 24 ประเทศในยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชีย พบว่า นักศึกษาไทยนอนน้อยติดลำดับที่ 21
และจากการศึกษาของทุนง่วงอย่าขับ มูลนิธิรามาธิบดี ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาเด็กนักเรียนจาก 3 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ลพบุรี ราชบุรี จำนวน 2 พันกว่าคน ตั้งแต่ประถม 1 ถึงมัธยม 3 พบว่า จำนวนชั่วโมงนอนหลับในวันเรียนหนังสือเฉลี่ยแล้วน้อยกว่ามาตรฐาน 1-1.5 ชั่วโมงต่อคืน ส่วนในวันหยุดน้อยกว่ามาตรฐาน 0.5-1 ชั่วโมงต่อคืน มีจำนวนชั่วโมงอดนอนสะสมต่อสัปดาห์อยู่ระหว่าง 6-9 ชั่วโมง
นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประ ธานกรรมการ ทุนง่วงอย่าขับฯ กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผู้รับผิดชอบและผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับและหาวิธีแก้ไข ซึ่งการแก้ไขทำได้ไม่ยาก เริ่มที่ให้ความรู้ ให้เด็กไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนให้เพียงพอ การนอนหลับมีความสำคัญเท่ากับอาหารและการออกกำลังกาย การนอนหลับไม่ใช่กิจกรรมสุดท้าย หลังจากทำกิจกรรมอื่นเสร็จแล้วถึงจะเข้านอน แต่เมื่อถึงเวลานอน
เด็กจะต้องให้ความสำคัญของการนอนเหนือกิจกรรมอื่น ๆ”
ผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กรู้จักแบ่งเวลาให้เป็น จัดลำดับความสำคัญว่าควรทำอะไรก่อนหลัง รีบทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อใกล้ถึงเวลานอน เด็ก ๆ ไม่ควรเล่น ควรผ่อนคลาย ทำใจให้สงบ ไม่กังวล เคร่งเครียด คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ
เมื่อถึงเวลานอนต้องหยุดกิจกรรมอย่างอื่นทุกอย่าง รวมทั้ง หยุดคุยโทรศัพท์มือถือ หยุดเล่นเกมออนไลน์ ใช้อินเทอร์เน็ต หยุดดูโทรทัศน์ และเด็ก ๆ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดเรียนหรือวันหยุด
นอกจากจะรณรงค์ให้เด็ก ๆ เห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอแล้ว ทุนง่วงอย่าขับฯ ยังได้รณรงค์ให้โรงเรียนจัดสถานที่ให้เด็กได้งีบหลับช่วงหลังอาหารกลางวัน 10-15 นาทีด้วย เพราะการงีบหลับจะทำให้สมองเด็กสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เรียนรู้ได้ดีและฉลาดขึ้น
มีการศึกษาพบว่าการงีบหลับเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้เด็กฉลาดขึ้น
ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการรณรงค์ให้เด็กญี่ปุ่นงีบหลับเวลากลางวัน เพื่อความได้เปรียบทางสติปัญญามากว่า 3 ปีแล้ว และในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้บรรจุวิชาการนอนหลับในชั่วโมงการเรียนการสอนของเด็กในระดับมัธยมตอนปลายมา 2 ปีแล้ว
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่เด็กไทยจะได้มีระดับสติปัญญาและความสูงได้มาตรฐานทัดเทียมกับเด็กในนานาประเทศ ???.
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
ถ้าคุณตอบถูก 10 ข้อ ..คุณเป็นอัจฉริยะ
1. บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน มีกี่เดือนที่มี 28 วัน
2. ถ้าคุณหมอให้ยามา 3 เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆครึ่งชั่วโมง
คุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกินยาหมด
3. ฉันเข้านอนตอน 2 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 9 โมงเช้า
ถามว่าฉันจะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดัง (นาฬิกาปลุกแบบเข็ม)
4. เอา 30 หารครึ่ง แล้วบวก 10 จะได้คำตอบเท่าไหร่
5. ชาวนามีแกะ 17 ตัว ทุกตัวยกเว้น 9 ตัวตายหมด
ถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว
6. ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียว
แล้วต้องเข้าไปในห้องที่ทั้งหนาวทั้งมืด ในห้องนั้นมีฮีตเตอร์น้ำมัน
ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข คุณจะเลือกจุดอะไร
7. ชายคนหนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง 4 ด้าน
และหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมีผ่านมา ถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร
8. หยิบแอปเปิ้ล 2 ลูกออกจากแอปเปิ้ล 3 ลูก ถามว่าคุณจะได้อะไร
9. โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว
10. ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน 43 คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์ก แล้วหยุดรับอีก 7
คนขึ้นมา แล้วหยุดจอด ให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ 5 คน
จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก 20
ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร
ถ้าต้องการให้ได้ผลจริงๆ กรุณาทำให้เสร็จก่อนดูเฉลย
ขอย้ำ ทำให้เสร็จก่อนดูเฉลยยย
----------
-------------------
------------------------------
----------------------------------------
--------------------------------------------------
เฉลยค่า
1. ทุกเดือน เพราะทุกเดือนก็มีอย่างน้อย 28 วันอยู่แล้ว
2. 1 ชั่วโมง เพราะถ้าคุณกินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ 2
ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง
และเม็ดที่ 3 ก็จะกิน ตอนบ่าย 2
3. 1 ชั่วโมง เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 9 โมงเช้าถ้านาฬิกาปลุกแบบเข็ม มันก็คือ 3 ทุ่มนั้นเอง
4. 70 (30/0.5 + 10)
5. 9 ตัวว
6. จุดไม้ขีดไฟก่อน
7. สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้ แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเหนือ หมีมันมาจากขั้วโลกเหนือ ก็มีสีขาวไง // หมีขั้วโลก
8. ได้แอปเปิ้ล 2 ลูก
9. ไม่ได้เอาไปเลย เพราะคนที่เอาสัตว์ขึ้นเรือไม่ใช่โมเสสแต่เป็นโนอาร์ ฮาๆๆๆๆๆ
10. ชื่อของคุณนั่นแหละ ก็คุณเป็นคนขับรถนี่จ๊ะ
ถ้าตอบถูก ......
10 ข้อ คุณเป็นอัจฉริยะ
9 ข้อ คุณเป็นสมาชิกของเมนซาณ
8 ข้อ วิศวกร
7 ข้อ นักศึกษามหาวิทยาลัย
6 ข้อ นักเรียนมัธยมปลายัย
5 ข้อ นักเรียนประถม
4 ข้อ ครูสอนนักเรียนมัธยม
3 ข้อ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
2 ข้อ นักสืบ FBI
1 ข้อ สมาชิกสภาคองเกรส
0 ข้อ เป็นเรื่องธรรมดา
ที่มาจาก : http://www.gracezone.org/index.php/motivate/286-10-quizs-to-be-genius
วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554
เทคนิคการเรียนเก่ง 7 ข้อ จากหนูดี
ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว
ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่าสีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา
* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก็สามารถจดจำได้แล้วล่ะ
ข้อที่ 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น
การใช้สมุด note ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถวร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ
ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.
ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า
การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้
ข้อที่ 4 : Mp3
เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทึกเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง
หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ
ข้อที่ 5 : เอาใจครู
เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตล์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง
เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงานครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะเราอยากเรียนวิชานั้น ๆ
ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา
ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา
ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว
อ้างอิงจาก : http://blog.spu.ac.th/
ที่มาจาก : http://www.tlcthai.com/
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554
เคล็ดลับพัฒนาอัจฉริยภาพ 8 ด้าน เพื่อก้าวสู่ความเป็นอัจฉริยะ
“This is a simple and so obvious …only a genius could think of it”
สมองซีกซ้ายและซีกขวา
สมองซีกซ้าย —— ตรรกะ —— การวางแผน ไวยากรณ์ การเขียนซ้ำแก้ไข การหาข้อมูล การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ
สมองซีกขวา —— อารมณ์ ความรู้สืก —— ความน่าตื่นเต้น สีสัน การใช้จินตนาภาพและจินตนาการ การใช้ความแปลกใหม่ การใช้ข้อมูลสนุก ขี้เล่น
มนุษย์เรามีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน และในคนหนึ่งคนก็มีครบทั้ง 8 ด้าน
1. อัจฉริยภาพด้านภาษา
อัจฉริยภาพด้านภาษานี้จำเป็นมากสำหรับแทบทุกอาชีพ บุคคลที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ คือคนที่เป็นนายของภาษา สามารถใช้ภาษาได้อย่างที่ใจต้องการ…มีทักษะในการรับรู้ข้อมูล
ผ่านภาษาสูงมาก เป็นคนช่างสังเกต
กิจกรรมส่งเสริม
การฟังอย่างลึกซึ้ง —— ฝึกหน้าที่เป็น Moderator —— ฟังและออกเสียงตามภาษาอื่นๆ —— เลือกฟังเพลงหลายๆ ภาษา —— เคี้ยวอาหารให้ละเอียด —— ถามความหมายศัพท์ใหม่ —— อ่านสารบัญหนังสือขายดี ——สรุปการประชุมเป็นคำคล้องจอง —— หัดทำ Mind Map ——เล่าเรื่องขำขัน —— ชวนคุย
2. อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
คนที่อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวคือคนที่สมองทำงานเร็วและทรงพลังเป็นพิเศษ
เมื่อร่างกายของเขามีการเคลื่อนไหว…เมื่อเขาได้เล่น…ได้เต้น…ได้ออกกำลังกาย
กิจกรรมส่งเสริม
หายใจให้ถูกต้อง —— จัดกระดูกสันหลังให้ตรง —— ทานอาหารให้ครบส่วนและเลือกทานอาหารสุขภาพ —— ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ —— ซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ —— ใช้ร่างกายสลับซีก —— ออกกำลังกาย —— ฝึกทำท่าบริหารสมอง (Brain Gym)
3. อัฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ
คนที่มีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ มองอะไรก็มักเห็นเป็นภาพชัดเจนอยู่ใน
จินตนาการ…เมื่อคนกลุ่มนี้หลับตาลง จะมองเห็นภาพหนังสือที่อ่านลอบอยู่ตรงหน้าได้
กิจกรรมส่งเสริม
พกปากกาสี หรือปากกาเน้นข้อความ —— หัดทำ Mind Map —— เข้า search engine หารูป —— วาดแผนที่ —— ฝึกวาดวงกลม —— ฝึกจัดดอกไม้ —— จัดกระเป๋า จัดบ้าน หรือจัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบ —— รื้อ สำรวจ ประกอบอุปกรณ์ที่เสียแล้ว —— ใช้กราฟ แผนภูมิ แผนผัง —— ฝึกเขียนอักษรกลับหัว
4. อัฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
วันๆ หนึ่งเราต้องใช้ทักษะด้านตรรกะและคณิตศาสตร์เยอะมากๆ โดยไม่รู้ตัว…คนที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ จะมีลักษณะเป็นคนช่างสงสัย ชอบสืบค้นข้อมูล ชอบสืบสวนสอบสวน…
กิจกรรมส่งเสริม
บวกค่าอาหาร —— หัดทำ Mind Map —— บวกเลขทะเบียนรถ —— อ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ —— ติดตามข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี —— ฝึกเล่นเกมที่ต้องวางแผน —— เรียนรู้การวางแผนและจัดระบบ —— ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน —— จัดหมวดหมู่สิ่งของ —— ทยซิ ทายซิ สังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
5. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเอง
คนกลุ่มนี้มักชอบรับพลังงานจากการอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง ได้มองความคิดตัวเอง มีความสุขกับการคิดไปคิดมาถาม-ตอบเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง…คนมีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเอง
สามารถที่จะอยู่ตามลำพังอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งผู้อื่นและปัจจัยภายนอก
กิจกรรมส่งเสริม
ตั้งเป้าหมายหรือผลสัมฤทธิ์ปลายทางในสิ่งที่จะทำให้ชัดเจนเพื่ให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพ —— ทบทวนชีวิตในวันนี้ —— วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ของตัวเอง —— ตั้งเป้าหมายแบบไคเซน —— การผ่อนคลาย —— เขียนชีวประวัติตนเอง —— ลองทำแบบทดสอบต่างๆ —— ยิ้มให้ตนเองก่อนออกจากบ้าน —— วันของฉัน ให้รางวันกับตัวเอง
6. อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น
ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือมีความเป็น“นักฟัง”หรือความเป็นผู้ฟังสูงมาก…และถ้าอยาก
ประสบความสำเร็จทั้งการงานและชีวิตความสัมพันธ์ส่วนตัวในสังคมที่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันเกิน
2 คนขึ้นไปแล้วละก็ความสัมพันธ์ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นมีความจำเป็นมาก
กิจกรรมส่งเสริม
ยิ้ม —— อ่านความหมายจากใบหน้า —— ฟังอย่างลึกซึ้ง —— ชวนคุยในเรื่องเขา บอกเล่าในเรื่องเรา หรือพูดคุยในเรื่องที่ทั้งสอฝ่ายสนใจ —— คิดแบบ Win-Win Situation —— นั่งดูผู้คน —— เพื่อนสอนเพื่อน แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ —— ร่วมกิจกรรมกลุ่มในโอกาสต่างๆ
7. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ
อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติได้ถูกส่งผ่านบรรพบุรุษมาใน DNA มนุษย์ทุกคน ถึงแม้เราจะไม่รู้ตัวก็ตาม และเป็นปัญญาด้านที่พัฒนาได้ง่าย และเป็น “ธรรมชาติ” ได้มากที่สุด
กิจกรรมส่งเสริม
จิบชา —— ออกไปอยู่นอกห้องปรับอากาศ —— ไปตลาดต้นไม้ —— ทำศิลบะภาพพิมพ์ —— หัดทำอาหาร —— กอดต้นไม้ในสวน ——ทำสมุดทับใบไม้ดอกไม้ —— ปลูกต้นไม้ในที่ทำงาน —— ใช้ผลิตภัณพ์จากธรรมชาติ —— ไปดูดาวท้องฟ้าจำลอง —— ถอดรองเท้าเดินบนพื้นดิน ทราย หรือหญ้า
8. อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ
อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะช่วยให้เราจำได้แม่น และมองเห็นภาพรวมได้ทั้งหมด…ดนตรี
และจังหวะช่วยจัดระบบคลื่นสมองให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและเหมาะกับการเรียนรู้และการพักผ่อน
กิจกรรมส่งเสริม
ฟังเสียงในสวน —— ร้องเพลงในห้องน้ำ ——ร้องคาราโอเกะ —— เปลี่ยนเนื้อเพลงเล่นสนุก —— เพิ่มไสตล์ หลายแนวเพลง —— เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ คลอระหว่างอ่านหนังสือหรือประชุม —— ฝึกอ่านออกเสียงเป็นจังหวะจะโคน
ลองไปฝึกฝนกันนะคะ จะได้มีอัจฉริยภาพกันทุกด้าน หวังว่าคงมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ …….
อ้างอิงจาก : หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ โดย วนิษา เรซ
บริหารสมอง สร้างพลังความจำ
‘สมอง' ก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ต้องออกกำลังบริหารอยู่เสมอเพื่อให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากจะส่งผลให้สมองโลดแล่นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจดจำอีกด้วย สำหรับคนขี้หลงขี้ลืม อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันลดลง และยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคสมองเสื่อม และเพราะ ‘ความจำ' เราจึงเรียนรู้ได้โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง ความจำทำให้เราสามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้ จิตใต้สำนึกของเราบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตตลอดเวลา ความจำเป็นสิ่งไม่ตาย แต่อยู่ถาวรภายใต้จิตสำนึก หากได้รับการฝึกฝนที่ดี ก็จะสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตกลับมาได้
วิธีเพิ่มความจำให้สมอง ด้วยหลักปฏิบัติง่ายๆ
1. กินอาหารเพิ่มความจำ
- กลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน
- กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ซึ่งมีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายที่เกี่ยวกับระบบการคิด
- ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง
- ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม
- ผักผลไม้สด เช่น ผลไม้ที่มีสีแดง ม่วง น้ำเงิน โดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ นั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดที่มีความเข้มข้นสูง หรือที่เรียกว่า Anthocyanidin
- ลดปริมาณแอลกอฮอล์
2. ออกกำลังเพิ่มความจำ
การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor ให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ อาทิ
- ออกกำลังแบบแอโรบิก หรือออกกำลังต่อเนื่อง เช่น วิ่งเหยาะ นาน 20-30 นาที อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- การฝึกโยคะ รำมวยจีน เดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้
- ออกกำลังกายเบาๆ เช้าหรือเย็น เดินเท้าเปล่าเหยียบพื้นดินบ้าง บนหญ้าบ้าง แกว่งแขนเบาๆ
- ฝึกเดินถอยหลัง หาพื้นที่โล่งกว้าง ยืนให้มั่น ค่อยๆ ก้าวถอยหลังช้าๆ อย่างน้อยวันละ 50 ก้าว
3. ฝึกสมาธิ ควบคุมอารมณ์และจิตใจ
เพิ่มประสิทธิภาพของสมองและระบบประสาทด้วยการ
- นอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ คนส่วนมากต้องการนอนวันละ 7 ชั่วโมง (แต่ละคนไม่เท่ากัน) ลองสังเกตดูว่านอนเท่าไรที่จะทำให้สดชื่น และไม่ง่วงตอนบ่ายๆ แต่แนะนำว่าไม่ควรนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากเกินไปทำให้เกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้นได้
- ฝึกสมาธิ ไทเก๊ก (ชี่กง-ไท จี้) โยคะ ซึ่งช่วยทำให้การหายใจเข้า-ออกช้าลงอย่างน้อยวันละ 10 นาที
- แสดงความชื่นชมคนรอบข้างเสมอ เพื่อฝึกการมองโลกในแง่ดี แต่คนที่ต้องชื่นชมก่อนคนอื่นทั้งหมดคือ ชื่นชมตัวเราเองเวลาเราทำอะไรดีๆ หรือเวลาทำอะไรดีๆ สำเร็จ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ควรฝึกให้รางวัลตัวเองบ้าง
- ขยันดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เนื่องจากสมองต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงถึงร้อยละ 5 ของเลือดในร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้ความสามารถทางสมองลดลง ความคิดจะไม่ค่อยแล่น ทำให้ซึมเศร้าและอาการเครียดก็จะตามมา
- ฟังเพลง Mozart ก่อนนอนสักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำได้
4. บริหารสมอง
การเล่นหมากรุก หมากล้อม ครอสเวิร์ด ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย
ที่มาจาก : http://campus.sanook.com/
เทคนิคการจำ..ฝึกได้ง่ายๆ
รู้ไหมว่า...วัน ๆ หนึ่ง เราต้องใช้สมองจดจำอะไรบ้าง...
จำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำ tense ตารางธาตุ ประวัติศาสตร์ อักษรสูง กลาง ต่ำ ชื่อเพื่อน หน้าเพื่อน จำเนื้อเพลง วันเกิดพ่อแม่พี่น้อง เบอร์โทรศัพท์ และจำ จำ จำ อีกหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะจำอะไรที่เป็นวิชาการ มันช่างจำได้ยากเย็นเต็มที ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่า "การเรียนด้วยความเข้าใจนั้นดีที่สุด" แต่จะมีใครกล้าปฏิเสธมั๊ยล่ะว่าเราเรียนได้โดยไม่ต้องใช้การท่องจำ...
เทคนิคแรก โยงสิ่งที่ต้องจำไปหาสิ่งที่จำง่ายและติดตากว่า
เช่น ภาษาอังกฤษคำว่า "sue" แปลว่าฟ้องร้อง การออกเสียงคำว่า "sue" คล้ายกับคำว่า "สู้" ของไทย แต่การสู้ในที่นี้ เราต้องสู้กันในศาล เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าฟ้องร้องนั่นเอง (สำหรับการท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ขอแนะนำเพิ่มเติมว่าควรจะท่องกลุ่มคำที่มีความหมายเหมือนกัน จะได้จำไปคราวเดียว ไม่ต้องท่องหลายรอบ เช่น purpose-goal-aim-intention-objective)
เทคนิคที่สอง ใส่ทำนองร้องเป็นเพลง
ถ้าอยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งยาว ๆ ลองใส่ทำนองเข้าไปแล้วลองร้องออกมา นอกจากจะสนุกสนานล้ว อาจจะจำได้ดีขึ้นด้วย แต่จะไพเราะเสนาะหูขนาดไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว
เทคนิคที่สาม วิธีจำโดยสังเกตตัวอักษรที่เหมือนกัน
ใช้ได้ผลดีกับวิชาภาษาไทย เช่น คำนวน ต้องเขียนว่า คำนวณ ใช้ "ณ" เหมือนคำว่า คณิตศาสตร์ หรือ เข้าฌาน สะกดด้วย "น" เพราะเป็นการนั่งแบบ "นิ่ง ๆ"
เทคนิคที่สี่ ประโยคเด็ดช่วยจำ
แต่งประโยคหรือเรียบเรียงเรื่องที่ต้องจำเป็นข้อความสั้น ๆ และถ้าสามารถ อาจแต่งให้คล้องจองกัน จะช่วยให้จำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ประโยคยอดฮิตที่ว่า "ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง" ทำให้พวกเราจำอักษรกลางได้อย่างง่ายดาย
เทคนิคที่ห้า จำเป็นรูปภาพ
สมองคนเราจำรูปได้ดีกว่าข้อความ ดังนั้นพวกสูตรคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ลองเขียนเป็นตัวใหญ่ ๆ ทำให้โดดเด่นมีสีสัน แปะไว้ข้างฝาบ้าน มองทุกวัน หลาย ๆวัน เราจะจำภาพหรือสูตรนั้นได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญอย่าลืมมองเจ้าสิ่งที่แปะบ่อย ๆ ด้วย
เทคนิคการจำก็เป็นความสามารถเฉพาะตัวเหมือนกัน ต้องมีการฝึกฝนและพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์ การจำเรื่องยาก ๆ อาจต้องใช้หลายเทคนิคหรือเทคนิคขั้นสูงต่อไป
อ้างอิงจาก : วารสารกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ฉบับเดือนมากราคม - มีนาคม 2553
ที่มาจาก : http://www.unigang.com/Article/5644
10 อันดับคนอัจฉริยะที่สุดของโลก
1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก
Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210 คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงความสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่
มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASAได้เชิญเขา
ไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขา
จากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน
2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี
Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจ
ออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง
International YouthAdvocatesซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพ
และความเข้าอกเข้าใจในระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเองได้ซะทีนั่นเอง
3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน
4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)
Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา
เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุด
ที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมาเนีย
http://www.youtube.com/watch?v=GDq-E708lHU
( ลองเข้าไปฟังเพลงของเธอได้ ตามลิ้งค์ด้านบนเลยค่ะ ^^ )
5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง
ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ
ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne’s Fitzroy Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikovaนักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป
6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่งและเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา
Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ป และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับ
จดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า“แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่
7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบ และกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์
หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในโลกและเป็นอาจารย์
วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554
ไอสไตน์ คำพูดและข้อคิดของ ไอสไตน์ ที่อยากให้คุณอ่าน
ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
" มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่ง
ตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
" ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "
ไอสไตน์ พูดว่า
" งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ "
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า "ตรรก" เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ "ตรรก"จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก "พันธนาการของความเคยชิน" หลบเลี่ยงจาก"กับดักทางความคิด" หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง " ขจัด" ทิฐิแห่งกมลสันดาน "
จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้
" มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่ง
ตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
" ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "
ไอสไตน์ พูดว่า
" งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะคนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควันเขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ "
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรกเห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า "ตรรก" เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ "ตรรก"จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก "พันธนาการของความเคยชิน" หลบเลี่ยงจาก"กับดักทางความคิด" หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง " ขจัด" ทิฐิแห่งกมลสันดาน "
จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id7091.aspx
น้ำยาบ้วนปาก ภัยของน้ำยาบ้วนปาก
ท.ญ.นพมณี วงษ์กิตติไกรวัล ทันตแพทย์กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า การใช้น้ำยาบ้วนปากมีไว้เพื่อกำจัดกลิ่นปาก แต่ที่จริงแล้ว เป็นเพียงการกลบกลิ่นปาก ด้วยกลิ่นของน้ำยาในระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นไม่นานก็กลับมามีกลิ่นปากเช่นเดิม
การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ดี ที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย
ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่า สามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้ นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาสีฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสีฟันอะไรก็ได้อย่างถูกวิธี และใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง
กลิ่นปาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วยมีโรคอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ
วิธีการตรวจว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่นั้น ทำได้โดยการสังเกต จากคนรอบข้าง หรือเอาช้อนมาขูดลิ้นแล้วทิ้งไว้ 5 วินาที จากนั้นนำมาดม หากพบว่ามีกลิ่นเหม็นก็แนะนำให้มาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจเช็กปัญหาในช่องปาก
การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ดี ที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย
ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่า สามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้ นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาสีฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสีฟันอะไรก็ได้อย่างถูกวิธี และใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง
กลิ่นปาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วยมีโรคอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ
วิธีการตรวจว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่นั้น ทำได้โดยการสังเกต จากคนรอบข้าง หรือเอาช้อนมาขูดลิ้นแล้วทิ้งไว้ 5 วินาที จากนั้นนำมาดม หากพบว่ามีกลิ่นเหม็นก็แนะนำให้มาพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจเช็กปัญหาในช่องปาก
อ้างอิง : http://www.redcross.or.th/home
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id7521.aspx
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id7521.aspx
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
วิธีคิดจินตคณิต การผสมผสานของสมองทั้งสองซีก
วิชาคณิตศาสตร์ คือวิชาที่มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่ชอบเรียน หลายเสียงบอกว่าเป็นเพราะเข้าใจยาก และสับสนกับตัวเลข แต่ในปัจจุบันวิธีการคิดคำนวณถูกพัฒนาให้เข้าใจ และนำมาใช้ได้หลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในวิธีการคิดคำนวณแบบรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยพัฒนาสมองได้ด้วย ก็คือ วิธีคิดจินตคณิต
วิธีคิดจินตคณิต คือการใช้จินตนาการในการคิดคำนวณจำนวนเลขต่าง ๆ ด้วยการสมมุติเป็นภาพลูกคิด ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการผสมผสานสมองทั้ง 2 ซีก ให้ใช้ควบคู่กันไป โดยสมองซีกซ้าย ที่ถูกแยกให้เป็นสมองซีกที่ใช้คิดวิเคราะห์ หรือเรียกได้ว่า เป็นสมองซีกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้คิดคำนวณตัวเลข จะถูกใช้ควบคู่ไปกับ สมองซีกขวา หรือสมองซีกแห่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ด้วยวิธีการง่าย ๆ นั่นคือ การใช้สมองซีกขวาจินตนาการภาพลูกคิด และใช้สมองซีกซ้ายคำนวณตัวเลขจากลูกคิดในจินตนาการนั้น ด้วยความมีสมาธิ
ซึ่ง วิธีคิดจินตคณิต เป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว สามารถคิดเลขได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องคิดเลข เพราะวิธีการใช้จินตคณิตในการคำนวณนั้น คือการฝึกสมาธิ และฝึกให้สมองได้เรียบเรียงลำดับความคิดนั่นเอง
ทั้งนี้ วิธีคิดจินตคณิต พัฒนามาจากลูกคิดของจีน มาเป็นลูกคิดแบบญี่ปุ่น ที่มีลูกคิด 5 ลูก อยู่เหนือเส้นแบ่ง 1 ลูก มีลูกคิด 1 ใต้เส้นแบ่ง 4 ลูก และใช้วิธีการคิดคำนวณในแบบเลขคู่ 5 และ เลขคู่ 10 ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้หยิบยกเอาลูกคิดมาพัฒนาให้เป็นจินตคณิต และแพร่หลายในปี 1994 ในประเทศ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมัน แคนาดา มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งในประเทศมาเลเซียนั้นถึงขนาดประกาศว่า เด็กทุกคนจะต้องได้เรียนวิชาจินตคณิตเลยทีเดียว
หากมีการเริ่มต้นพัฒนา วิธีคิดจินตคณิต ตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะช่วงวัย 7-12 ปี จะทำให้สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญการคำนวณแบบจินตคณิตได้ แต่ทั้งนี้สมาธิคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝน และควบคุมจิตใจ ให้แน่วแน่อยู่กับการจินตนาการ ซึ่งหากสมาธิแตกเมื่อไหร่ ความสามารถก็จะลดลง ซึ่งเด็ก ๆ ที่กำลังใช้สมาธิกับจินตคณิต มักมีอาการในการคิดคำนวณที่ต่างกันออกไป บางคนขยับนิ้ว บางคนนั่งโยกตัวตามจังหวะของลูกคิด แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
โดย นายกวิชช์ ไตรวงศ์ไพศาล ผู้คิดค้นหลักสูตรวิธีคิดจินตคณิตในประเทศไทย กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว เด็ก ๆ ที่ผ่านการฝึกฝนคิดเลขด้วยวิธีคิดจินตคณิต จะไม่รู้สึกว่าอัศจรรย์ที่คิดเลขได้เร็วขนาดนั้น เพราะเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันก็สามารถทำได้ แต่เด็ก ๆ จะรู้สึกสนุก ที่ได้ใช้สมองไปกับจินตนาการ
วิธีคิดจินตคณิต นับว่าเป็นประโยชน์มาก ที่จะช่วยทำให้สมองทั้งสองซีกมีการพัฒนาไปควบคู่กัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสมองไปในด้านอื่น ๆ เพราะนอกจากจะฝึกให้มีสมาธิ มีประโยชน์ในการคิดแล้ว ยังทำให้ผู้ที่คิดแบบจินตคณิตได้รับความสนุกเพลิดเพลินด้วย . . .
วิธีคิดจินตคณิต คือการใช้จินตนาการในการคิดคำนวณจำนวนเลขต่าง ๆ ด้วยการสมมุติเป็นภาพลูกคิด ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการผสมผสานสมองทั้ง 2 ซีก ให้ใช้ควบคู่กันไป โดยสมองซีกซ้าย ที่ถูกแยกให้เป็นสมองซีกที่ใช้คิดวิเคราะห์ หรือเรียกได้ว่า เป็นสมองซีกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้คิดคำนวณตัวเลข จะถูกใช้ควบคู่ไปกับ สมองซีกขวา หรือสมองซีกแห่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ด้วยวิธีการง่าย ๆ นั่นคือ การใช้สมองซีกขวาจินตนาการภาพลูกคิด และใช้สมองซีกซ้ายคำนวณตัวเลขจากลูกคิดในจินตนาการนั้น ด้วยความมีสมาธิ
ซึ่ง วิธีคิดจินตคณิต เป็นวิธีการที่ทำให้ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนแล้ว สามารถคิดเลขได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องคิดเลข เพราะวิธีการใช้จินตคณิตในการคำนวณนั้น คือการฝึกสมาธิ และฝึกให้สมองได้เรียบเรียงลำดับความคิดนั่นเอง
ทั้งนี้ วิธีคิดจินตคณิต พัฒนามาจากลูกคิดของจีน มาเป็นลูกคิดแบบญี่ปุ่น ที่มีลูกคิด 5 ลูก อยู่เหนือเส้นแบ่ง 1 ลูก มีลูกคิด 1 ใต้เส้นแบ่ง 4 ลูก และใช้วิธีการคิดคำนวณในแบบเลขคู่ 5 และ เลขคู่ 10 ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้หยิบยกเอาลูกคิดมาพัฒนาให้เป็นจินตคณิต และแพร่หลายในปี 1994 ในประเทศ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา เยอรมัน แคนาดา มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ซึ่งในประเทศมาเลเซียนั้นถึงขนาดประกาศว่า เด็กทุกคนจะต้องได้เรียนวิชาจินตคณิตเลยทีเดียว
หากมีการเริ่มต้นพัฒนา วิธีคิดจินตคณิต ตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะช่วงวัย 7-12 ปี จะทำให้สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญการคำนวณแบบจินตคณิตได้ แต่ทั้งนี้สมาธิคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฝึกฝน และควบคุมจิตใจ ให้แน่วแน่อยู่กับการจินตนาการ ซึ่งหากสมาธิแตกเมื่อไหร่ ความสามารถก็จะลดลง ซึ่งเด็ก ๆ ที่กำลังใช้สมาธิกับจินตคณิต มักมีอาการในการคิดคำนวณที่ต่างกันออกไป บางคนขยับนิ้ว บางคนนั่งโยกตัวตามจังหวะของลูกคิด แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
โดย นายกวิชช์ ไตรวงศ์ไพศาล ผู้คิดค้นหลักสูตรวิธีคิดจินตคณิตในประเทศไทย กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว เด็ก ๆ ที่ผ่านการฝึกฝนคิดเลขด้วยวิธีคิดจินตคณิต จะไม่รู้สึกว่าอัศจรรย์ที่คิดเลขได้เร็วขนาดนั้น เพราะเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกันก็สามารถทำได้ แต่เด็ก ๆ จะรู้สึกสนุก ที่ได้ใช้สมองไปกับจินตนาการ
วิธีคิดจินตคณิต นับว่าเป็นประโยชน์มาก ที่จะช่วยทำให้สมองทั้งสองซีกมีการพัฒนาไปควบคู่กัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาสมองไปในด้านอื่น ๆ เพราะนอกจากจะฝึกให้มีสมาธิ มีประโยชน์ในการคิดแล้ว ยังทำให้ผู้ที่คิดแบบจินตคณิตได้รับความสนุกเพลิดเพลินด้วย . . .
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
- bestmomclub
- nujiw.com
- udomwittayanukul.net
อ้างอิง : http://education.kapook.com/view16794.html
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id7434.aspx
- bestmomclub
- nujiw.com
- udomwittayanukul.net
อ้างอิง : http://education.kapook.com/view16794.html
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id7434.aspx
เคล็ดลับ10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ
ความเกี่ยวเนื่อง : ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้ว
เขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
เขียน : การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่
วาดรูป : ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต
แสดง : แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น
สร้าง : ออกแบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย
ความสัมพันธ์ : กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป
ฟัง : นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่คุณพยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น
เลือก : จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !
ข้อจำกัด : คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้คุณสมองตื้อแทน
สังเกต : พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/10-id4626.aspx
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
กัมมันตภาพรังสี คืออะไร
เป็นคุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออกมาด้วย ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439 ต่อมาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทปนั้นประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมา
รังสีแอลฟา
รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคแอลฟาซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมวล 4 amu มีประจุ +2 อนุภาคชนิดนี้จะถูกกั้นไว้ด้วยแผ่นกระดาษหรือเพียงแค่ผิวหนังชั้นนอกของคนเราเท่านั้น
การสลายตัวให้รังสีแอลฟา
90Th 232----->88Ra 228 + 2a 4
รังสีเบต้า
รังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคอิเลคตรอนหรือโพสิตรอน รังสีนี้มีคุณสมบัติทะลุทะลวงตัวกลางได้ดีกว่ารังสีแอลฟา สามารถทะลุผ่านน้ำที่ลึกประมาณ 1 นิ้วหรือประมาณความหนาของผิวเนื้อที่ฝ่ามือได้ รังสีเบต้าจะถูกกั้นได้โดยใช้แผ่นอะลูมิเนียมชนิดบาง
การสลายตัวให้รังสีบีตา
79Au 198----->80Hg 198 + -1b 0
7N 13----->6C 13 + +1b 0
รังสีแกมมา
รังสีที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูง มีคุณสมบัติเช่นเดียวกันกับรังสีเอกซ์ที่สามารถทะลุผ่านร่างกายได้ การกำบังรังสีแกมมาต้องใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นสูงเช่น ตะกั่วหรือยูเรเนียม เป็นต้น
การสลายตัวให้รังสีแกมมา
27Co 60----->-1b 0 + 28Ni 60----->28Ni60 + g
การใช้ประโยชน์จากรังสี
ปัจจุบันได้มีการนำรังสีและสารกัมมันตรังสีมาใช้งานต่างๆ กันเช่น ในทางการแพทย์มีการใช้ในการตรวจวินิจฉัย และบำบัดอาการโรคของผู้เจ็บป่วยจากโรคร้ายต่างๆ เช่น การฉายรังสีเอกซ์ การตรวจสมอง การตรวจกระดูก และการบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีการใช้งานทางรังสีในกิจการอุตสาหกรรม การเกษตร และการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาทิเช่น การใช้รังสีตรวจสอบรอยเชื่อม รอยร้าวในชิ้นส่วนโลหะต่างๆ การใช้ป้ายเรืองแสงในที่มืด การตรวจอายุวัตถุโบราณ การถนอมอาหารด้วยรังสี และการฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือแพทย์
อันตรายจากรังสี
แม้รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้ แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่งมีชีวิต และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสีได้ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีเลย
ผลของรังสีต่อสิ่งมีชีวิต
รังสีที่แผ่ออกจากธาตุกัมมันตรังสีเมื่อผ่านเข้าไปในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย จะทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออนของอะตอมตามแนวทางที่รังสีผ่านไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสิ่งมีชีวิต 2 แบบ คือ
- ผลของรังสีที่มีต่อร่างกาย คือ เกิดเป็นผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ผมร่วง เซลล์ตาย เป็นแผลเปื่อย เกิดเนื้อเส้นใยจำนวนมากที่ปอด (fibrosis of the lung) เกิดโรคเม็ดโลหิตขาวมาก (leukemia) เกิดต้อกระจก (cataracts) ขึ้นในนัยน์ตา เป็นต้น ซึ่งร่างกายจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับส่วนของร่างกายที่ได้ และอายุของผู้ได้รับรังสี ดังนั้นผู้ได้รับรังสีมีอายุน้อยแล้วอันตรายเนื่องจากรังสีจะมีมากกว่าผู้ที่มีอายุมาก ในทารกแรกเกิดแล้วอาจได้รับอันตรายถึงพิการหรือเสียชีวิตได้
- ผลของรังสีที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ คือ ทำให้โครโมโซม (chromosome) เกิดการเปลี่ยนแปลง มีผลทำให้ลูกหลานเกิดเปลี่ยนลักษณะได้
การป้องกันรังสี
รังสีทุกชนิดมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งนั้น จึงต้องทำการป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสี หรือได้รับแต่เพียงปริมาณน้อยที่สุด ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีแล้ว ควรมีหลักยึดถือเพื่อปฏิบัติดังนี้
- เวลาของการเผย (time of exposure) โดยใช้เวลาในการทำงานในบริเวณที่มีรังสีให้สั้นที่สุด เพราะปริมาณกำหนดของรังสีจะแปรตรงกับเวลาของการเผย
- ระยะทาง (distance) การทำงานเกี่ยวกับรังสีควรอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีมาก ๆ ทั้งนี้เพราะความเข้มของรังสีจะแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทาง คือ เมื่อ d คือระยะทาง
- เครื่องกำบัง (shielding) เครื่องกำบังที่วางกั้นระหว่างคนกับแหล่งกำเนิดรังสีจะดูดกลืนบางส่วนของรังสีหรืออาจจะทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานใกล้กับสารกัมมันตรังสีและต้องใช้เวลานานในการปฏิบัติงาน เราจำเป็นต้องใช้เครื่องกำบังช่วยเครื่องกำบังที่ดีควรเป็นพวกโลหะหนัก เพราะว่าโลหะ หนักจะมีอิเล็กตรอนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้รังสีเมื่อวิ่งมาชนกับอิเล็กตรอนแล้วจะสูญเสียพลังงานไปหมด ตัวอย่างของเครื่องกำบังเช่น แผ่นตะกั่ว แผ่นเหล็ก แผ่นคอนกรีต ใช้เป็นเครื่องกำบังพวกรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา แผ่นลูไซท์ควอทซ์ ใช้เป็นเครื่องกำบังรังสีเบตาได้ อากาศและแผ่นกระดาษ อาจใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคอัลฟา ส่วนน้ำและพาราฟินใช้เป็นเครื่องกำบังอนุภาคนิวตรอนได้
อ้างอิง : http://www2.egat.co.th/ned/,
http://campus.sanook.com/กัมมันตภาพรังสี...คืออะไร-934881.html
ที่มาจาก : http://www.zazana.com/Article/id8413.aspx
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
วิธีฝึกสมองไบรท์..ของวนิษา เรซ (หนูดี)
1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรส
เป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์
บทสัมภาษณ์จาก : วนิษา เรซ
ที่มาจาก : http://www.hilunch.com/bright-brain
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)