วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

Neurobics ออกกำลังสมองเพื่อความฉับไว

หลายต่อหลายคนมักจะคิดถึงการมีสุขภาพกายที่ดีเป็นอย่างแรก จึงละเลยหรือลืมฝึกสมองในแง่ของความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ วันนี้เรามี 10 วิธีการฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณ ด้วย “นิวโรบิกส์” โปรแกรมที่เปรียบเสมือน การฝึกยิมนาสติกให้กับสมอง จะช่วยบริหารเซลล์สมองให้สดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ

 1. หลีกหนีความจำเจ
การหลีกหนีความจำเจ เป็นแก่นแท้ของแนวคิดนิวโรบิกส์ เพราะการทำอะไรซ้ำๆ นอกจากจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายแล้ว สมองก็รู้สึกเบื่อได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงควรแสวงหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแต่จะสามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการผ่อนคลายหายเครียดจาก งานประจำได้ค่ะ


2. ไม่สูดกลิ่นเดิมๆ ซ้ำๆ
ทุกเช้าเมื่อได้กลิ่นกาแฟเดิมๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ถ้าจมูกคนเราได้รับกลิ่นเดิมๆ บ่อยเข้า จะทำให้จมูกและประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้นได้ค่ะ อีกทั้งการรับกลิ่นอื่นๆ ก็จะด้อยคุณภาพลงไปด้วย


3. รับรสสัมผัสใหม่ๆ
ตอนที่คุณอาบน้ำในอ่างหรืออาบแบบฝักบัว ลองแกล้งลืมถูสบู่ เจลอาบน้ำหรือแชมพูดดูสักครั้งสิคะ อาจจะทำให้การรับรสสัมผัสทางกายดีขึ้นได้


4. เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว
คนถนัดมือขวา ก็หันมาลองใช้มือซ้ายดูบ้าง หรือหากถนัดซ้าย ก็ลองใช้มือขวาแทน ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน หรือเขียนหนังสือ ซึ่งการได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่างๆ แอ็กทีฟขึ้น แล้วคุณก็จะพบว่าการได้ทำอะไรกลับด้านนั้นมันไม่ยากเย็นเหมือนที่คิดไว้เลย


5. หาทางเดินใหม่ ๆ
พยายามหาทางใหม่ๆ เดินเล่น หลีกหนีเส้นทางเก่าที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางไปออฟฟิศหรือทางกลับบ้าน ทำไมไม่ลองเดินผ่านสวนสาธารณะ หรือเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นที่ไม่เคยไปดูบ้างล่ะคะ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้สมองของคุณได้มีโอกาสคิดแล้ว คุณยังได้พบกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย


6. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การจัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หาที่แขวนรูปและนาฬิกาใหม่ หรือการพบปะผู้คนใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้ค่ะ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ง่ายนัก แต่คุณจะค่อยๆ ชินไปเอง การปรับเปลี่ยนแบบนี้ทำให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานทางด้านความคิดสร้างสรรค์มี พัฒนาการที่ดีกว่าเดิมนะคะ


7. เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น
ขณะที่พูดโทรศัพท์หรืออ่านหนังสือควรสูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์หรือกลิ่นมะนาว เพราะกลิ่นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้นค่ะ


8. รับประทานอาหารรสชาติแปลกๆ ทุกๆ วัน
ถ้ามีการรับประทานอาหารที่แปลกไปจากเดิม จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองไปทางอาหารที่ร้านอาหารเวียตนาม ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดียดูบ้างสิคะ กลิ่นและรสชาติของอาหาร ที่แปลกแตกต่างไปจะพลอยทำให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ไปท่อฤงเที่ยวในสถาน ที่แปลกใหม่นั้นด้วย


9. ปิดประสาทรับเสียง
ลองใช้สำลี หรือที่อุดหูโดยเฉพาะ เพื่อฝึกใช้แต่ประสาททางสายตาและทางจมูกดูสักพัก ไม่แน่นะคุณอาจค้นพบความสามารถพิเศษแปลกใหม่ที่คุณไม่คิดว่าจะมีอยู่ในตัว เองก็เป็นได้


10. ใส่ใจในสัมพันธ์แห่งรัก
การหมั่นเติมความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับชีวิตคู่ของคุณอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ


ที่มาจาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Neurobics.htm

อยากสูงและฉลาดต้องนอนหลับให้เพียงพอ


การนอนหลับมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและสุขภาพที่ดี ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้วันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

แต่สำหรับเด็ก ๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้มากกว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กประถมต้น (อายุ 6-8 ขวบ) ควรนอน 11 ชั่วโมง เด็กประถมปลาย (อายุ 9-11 ขวบ) ควรนอน 10 ชั่วโมง เด็กมัธยมต้น (อายุ 12- 14 ปี) ควรนอน 9.25 ชั่วโมง เด็กมัธยมปลาย รวมทั้ง ปวช. (อายุ 15-17 ปี) ควรนอน 8.5 ชั่วโมง

การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายของเด็ก ๆ เติบโตสูงขึ้น เพราะในเวลาที่เด็ก ๆ นอนหลับสนิท ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ growth hormone ออกมา ถ้าเด็กนอนไม่พอ growth hormone จะถูกหลั่งออกมาน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ตัวเตี้ย ไม่สูงเท่าที่ควร

นอกจากนี้การนอนไม่พอยังส่งผลให้การเรียนตกต่ำ เนื่องจากความง่วงนอนทำให้การรับรู้ ความเข้าใจ สมาธิ การเรียนรู้สิ่งใหม่ การแก้ปัญหา และความจำลดน้อยลง

การนอนไม่พอยังทำให้เด็ก ๆ มีอารมณ์รุนแรง มีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด ภูมิต้านทานต่ำ และเจ็บป่วยง่าย

ในวารสาร Archives of Internal Medicine ฉบับ วันที่ 18 ก.ย. 2549 ได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาเปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงการนอนหลับของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยจาก 24 ประเทศในยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชีย พบว่า นักศึกษาไทยนอนน้อยติดลำดับที่ 21

และจากการศึกษาของทุนง่วงอย่าขับ มูลนิธิรามาธิบดี ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาเด็กนักเรียนจาก 3 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ลพบุรี ราชบุรี จำนวน 2 พันกว่าคน ตั้งแต่ประถม 1 ถึงมัธยม 3 พบว่า จำนวนชั่วโมงนอนหลับในวันเรียนหนังสือเฉลี่ยแล้วน้อยกว่ามาตรฐาน 1-1.5 ชั่วโมงต่อคืน ส่วนในวันหยุดน้อยกว่ามาตรฐาน 0.5-1 ชั่วโมงต่อคืน มีจำนวนชั่วโมงอดนอนสะสมต่อสัปดาห์อยู่ระหว่าง 6-9 ชั่วโมง

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประ ธานกรรมการ ทุนง่วงอย่าขับฯ กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้รับผิดชอบและผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการศึกษาต้องให้ความสำคัญกับการนอนหลับและหาวิธีแก้ไข ซึ่งการแก้ไขทำได้ไม่ยาก เริ่มที่ให้ความรู้ ให้เด็กไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการนอนให้เพียงพอ การนอนหลับมีความสำคัญเท่ากับอาหารและการออกกำลังกาย การนอนหลับไม่ใช่กิจกรรมสุดท้าย หลังจากทำกิจกรรมอื่นเสร็จแล้วถึงจะเข้านอน แต่เมื่อถึงเวลานอน

เด็กจะต้องให้ความสำคัญของการนอนเหนือกิจกรรมอื่น ๆ

ผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กรู้จักแบ่งเวลาให้เป็น จัดลำดับความสำคัญว่าควรทำอะไรก่อนหลัง รีบทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อใกล้ถึงเวลานอน เด็ก ๆ ไม่ควรเล่น ควรผ่อนคลาย ทำใจให้สงบ ไม่กังวล เคร่งเครียด คิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ

เมื่อถึงเวลานอนต้องหยุดกิจกรรมอย่างอื่นทุกอย่าง รวมทั้ง หยุดคุยโทรศัพท์มือถือ หยุดเล่นเกมออนไลน์ ใช้อินเทอร์เน็ต หยุดดูโทรทัศน์ และเด็ก ๆ ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดเรียนหรือวันหยุด

นอกจากจะรณรงค์ให้เด็ก ๆ เห็นถึงความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอแล้ว ทุนง่วงอย่าขับฯ ยังได้รณรงค์ให้โรงเรียนจัดสถานที่ให้เด็กได้งีบหลับช่วงหลังอาหารกลางวัน 10-15 นาทีด้วย เพราะการงีบหลับจะทำให้สมองเด็กสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เรียนรู้ได้ดีและฉลาดขึ้น

มีการศึกษาพบว่าการงีบหลับเพียงระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้เด็กฉลาดขึ้น

ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการรณรงค์ให้เด็กญี่ปุ่นงีบหลับเวลากลางวัน เพื่อความได้เปรียบทางสติปัญญามากว่า 3 ปีแล้ว และในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้บรรจุวิชาการนอนหลับในชั่วโมงการเรียนการสอนของเด็กในระดับมัธยมตอนปลายมา 2 ปีแล้ว

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ประเทศไทยจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อที่เด็กไทยจะได้มีระดับสติปัญญาและความสูงได้มาตรฐานทัดเทียมกับเด็กในนานาประเทศ ???.


วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

ถ้าคุณตอบถูก 10 ข้อ ..คุณเป็นอัจฉริยะ

มี 10 คำถามนะคะ ลองตอบดูภายใน 10 นาทีนะ อย่าคิดมากนะ ขำๆๆๆ


1. บางเดือนมี 30 วัน บางเดือนมี 31 วัน มีกี่เดือนที่มี 28 วัน

2. ถ้าคุณหมอให้ยามา 3 เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆครึ่งชั่วโมง
คุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกินยาหมด

3. ฉันเข้านอนตอน 2 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน 9 โมงเช้า
ถามว่าฉันจะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดัง (นาฬิกาปลุกแบบเข็ม)

4. เอา 30 หารครึ่ง แล้วบวก 10 จะได้คำตอบเท่าไหร่

5. ชาวนามีแกะ 17 ตัว ทุกตัวยกเว้น 9 ตัวตายหมด
ถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว

6. ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียว
แล้วต้องเข้าไปในห้องที่ทั้งหนาวทั้งมืด ในห้องนั้นมีฮีตเตอร์น้ำมัน
ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข คุณจะเลือกจุดอะไร

7. ชายคนหนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง 4 ด้าน
และหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมีผ่านมา ถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร

8. หยิบแอปเปิ้ล 2 ลูกออกจากแอปเปิ้ล 3 ลูก ถามว่าคุณจะได้อะไร

9. โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว

10. ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน 43 คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์ก แล้วหยุดรับอีก 7
คนขึ้นมา แล้วหยุดจอด ให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ 5 คน
จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก 20
ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร

ถ้าต้องการให้ได้ผลจริงๆ กรุณาทำให้เสร็จก่อนดูเฉลย

ขอย้ำ ทำให้เสร็จก่อนดูเฉลยยย
----------
-------------------
------------------------------
----------------------------------------
--------------------------------------------------

เฉลยค่า
1. ทุกเดือน เพราะทุกเดือนก็มีอย่างน้อย 28 วันอยู่แล้ว
2. 1 ชั่วโมง เพราะถ้าคุณกินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ 2
ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง
และเม็ดที่ 3 ก็จะกิน ตอนบ่าย 2
3. 1 ชั่วโมง เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน 9 โมงเช้าถ้านาฬิกาปลุกแบบเข็ม มันก็คือ 3 ทุ่มนั้นเอง
4. 70 (30/0.5 + 10)
5. 9 ตัวว
6. จุดไม้ขีดไฟก่อน
7. สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้ แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเหนือ หมีมันมาจากขั้วโลกเหนือ ก็มีสีขาวไง // หมีขั้วโลก
8. ได้แอปเปิ้ล 2 ลูก
9. ไม่ได้เอาไปเลย เพราะคนที่เอาสัตว์ขึ้นเรือไม่ใช่โมเสสแต่เป็นโนอาร์  ฮาๆๆๆๆๆ
10. ชื่อของคุณนั่นแหละ ก็คุณเป็นคนขับรถนี่จ๊ะ

ถ้าตอบถูก ......
10 ข้อ คุณเป็นอัจฉริยะ
9 ข้อ คุณเป็นสมาชิกของเมนซาณ
8 ข้อ วิศวกร
7 ข้อ นักศึกษามหาวิทยาลัย
6 ข้อ นักเรียนมัธยมปลายัย
5 ข้อ นักเรียนประถม
4 ข้อ ครูสอนนักเรียนมัธยม
3 ข้อ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
2 ข้อ นักสืบ FBI
1 ข้อ สมาชิกสภาคองเกรส
0 ข้อ เป็นเรื่องธรรมดา



ที่มาจาก : http://www.gracezone.org/index.php/motivate/286-10-quizs-to-be-genius





วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

เทคนิคการเรียนเก่ง 7 ข้อ จากหนูดี

                           (ความรู้ทั่วไป) เทคนิคการเรียนเก่ง 7 ข้อ จากหนูดี


ข้อที่ 1 : พกปากกาสี 12 สี ติดตัว

ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่าสีน้ำเงินที่เขียนตามปกติ จึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา

* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก็สามารถจดจำได้แล้วล่ะ

ข้อที่ 2 : ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น

การใช้สมุด note ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถวร้านขายสมุดวาดรูปดูน่ะ

ข้อที่ 3 : บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.

ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่า

การบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้

ข้อที่ 4 : Mp3

เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทึกเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่าง

หากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ

ข้อที่ 5 : เอาใจครู

เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตล์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเอง

เวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงานครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้น เพราะเราอยากเรียนวิชานั้น ๆ

ข้อที่ 6 : พูดคุยกับปากกา

ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา

ข้อที่ 7 : นั่งหน้าห้อง

นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว


อ้างอิงจาก : http://blog.spu.ac.th/
ที่มาจาก : http://www.tlcthai.com/

การทำงานสร้างอัจฉริยะ


-

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับพัฒนาอัจฉริยภาพ 8 ด้าน เพื่อก้าวสู่ความเป็นอัจฉริยะ

“This is a simple and so obvious …only a genius could think of it”

สมองซีกซ้ายและซีกขวา
สมองซีกซ้าย —— ตรรกะ —— การวางแผน ไวยากรณ์ การเขียนซ้ำแก้ไข การหาข้อมูล การใช้สัญลักษณ์ต่างๆ
สมองซีกขวา —— อารมณ์ ความรู้สืก —— ความน่าตื่นเต้น สีสัน การใช้จินตนาภาพและจินตนาการ การใช้ความแปลกใหม่ การใช้ข้อมูลสนุก ขี้เล่น

มนุษย์เรามีอัจฉริยภาพอย่างน้อย 8 ด้าน และในคนหนึ่งคนก็มีครบทั้ง 8 ด้าน

1. อัจฉริยภาพด้านภาษา
อัจฉริยภาพด้านภาษานี้จำเป็นมากสำหรับแทบทุกอาชีพ บุคคลที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ คือคนที่เป็นนายของภาษา สามารถใช้ภาษาได้อย่างที่ใจต้องการ…มีทักษะในการรับรู้ข้อมูล
ผ่านภาษาสูงมาก เป็นคนช่างสังเกต
กิจกรรมส่งเสริม
การฟังอย่างลึกซึ้ง —— ฝึกหน้าที่เป็น Moderator —— ฟังและออกเสียงตามภาษาอื่นๆ —— เลือกฟังเพลงหลายๆ ภาษา —— เคี้ยวอาหารให้ละเอียด —— ถามความหมายศัพท์ใหม่ —— อ่านสารบัญหนังสือขายดี ——สรุปการประชุมเป็นคำคล้องจอง —— หัดทำ Mind Map ——เล่าเรื่องขำขัน —— ชวนคุย

2. อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
คนที่อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวคือคนที่สมองทำงานเร็วและทรงพลังเป็นพิเศษ
เมื่อร่างกายของเขามีการเคลื่อนไหว…เมื่อเขาได้เล่น…ได้เต้น…ได้ออกกำลังกาย
กิจกรรมส่งเสริม
หายใจให้ถูกต้อง —— จัดกระดูกสันหลังให้ตรง —— ทานอาหารให้ครบส่วนและเลือกทานอาหารสุขภาพ —— ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ —— ซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ —— ใช้ร่างกายสลับซีก —— ออกกำลังกาย —— ฝึกทำท่าบริหารสมอง (Brain Gym)

3. อัฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ
คนที่มีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ มองอะไรก็มักเห็นเป็นภาพชัดเจนอยู่ใน
จินตนาการ…เมื่อคนกลุ่มนี้หลับตาลง จะมองเห็นภาพหนังสือที่อ่านลอบอยู่ตรงหน้าได้
กิจกรรมส่งเสริม
พกปากกาสี หรือปากกาเน้นข้อความ —— หัดทำ Mind Map —— เข้า search engine หารูป —— วาดแผนที่ —— ฝึกวาดวงกลม —— ฝึกจัดดอกไม้ —— จัดกระเป๋า จัดบ้าน หรือจัดโต๊ะทำงานให้มีระเบียบ —— รื้อ สำรวจ ประกอบอุปกรณ์ที่เสียแล้ว —— ใช้กราฟ แผนภูมิ แผนผัง —— ฝึกเขียนอักษรกลับหัว

4. อัฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์
วันๆ หนึ่งเราต้องใช้ทักษะด้านตรรกะและคณิตศาสตร์เยอะมากๆ โดยไม่รู้ตัว…คนที่มีอัฉริยภาพด้านนี้ จะมีลักษณะเป็นคนช่างสงสัย ชอบสืบค้นข้อมูล ชอบสืบสวนสอบสวน…
กิจกรรมส่งเสริม
บวกค่าอาหาร —— หัดทำ Mind Map —— บวกเลขทะเบียนรถ —— อ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ —— ติดตามข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี —— ฝึกเล่นเกมที่ต้องวางแผน —— เรียนรู้การวางแผนและจัดระบบ —— ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน —— จัดหมวดหมู่สิ่งของ —— ทยซิ ทายซิ สังเกตผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา

5. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเอง
คนกลุ่มนี้มักชอบรับพลังงานจากการอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง ได้มองความคิดตัวเอง มีความสุขกับการคิดไปคิดมาถาม-ตอบเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง…คนมีอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตัวเอง
สามารถที่จะอยู่ตามลำพังอย่างมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งผู้อื่นและปัจจัยภายนอก
กิจกรรมส่งเสริม
ตั้งเป้าหมายหรือผลสัมฤทธิ์ปลายทางในสิ่งที่จะทำให้ชัดเจนเพื่ให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพ —— ทบทวนชีวิตในวันนี้ —— วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ของตัวเอง —— ตั้งเป้าหมายแบบไคเซน —— การผ่อนคลาย —— เขียนชีวประวัติตนเอง —— ลองทำแบบทดสอบต่างๆ —— ยิ้มให้ตนเองก่อนออกจากบ้าน —— วันของฉัน ให้รางวันกับตัวเอง

6. อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น
ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือมีความเป็น“นักฟัง”หรือความเป็นผู้ฟังสูงมาก…และถ้าอยาก
ประสบความสำเร็จทั้งการงานและชีวิตความสัมพันธ์ส่วนตัวในสังคมที่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันเกิน
2 คนขึ้นไปแล้วละก็ความสัมพันธ์ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่นมีความจำเป็นมาก
กิจกรรมส่งเสริม
ยิ้ม —— อ่านความหมายจากใบหน้า —— ฟังอย่างลึกซึ้ง —— ชวนคุยในเรื่องเขา บอกเล่าในเรื่องเรา หรือพูดคุยในเรื่องที่ทั้งสอฝ่ายสนใจ —— คิดแบบ Win-Win Situation —— นั่งดูผู้คน —— เพื่อนสอนเพื่อน แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ —— ร่วมกิจกรรมกลุ่มในโอกาสต่างๆ

7. อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ
อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติได้ถูกส่งผ่านบรรพบุรุษมาใน DNA มนุษย์ทุกคน ถึงแม้เราจะไม่รู้ตัวก็ตาม และเป็นปัญญาด้านที่พัฒนาได้ง่าย และเป็น “ธรรมชาติ” ได้มากที่สุด
กิจกรรมส่งเสริม
จิบชา —— ออกไปอยู่นอกห้องปรับอากาศ —— ไปตลาดต้นไม้ —— ทำศิลบะภาพพิมพ์ —— หัดทำอาหาร —— กอดต้นไม้ในสวน ——ทำสมุดทับใบไม้ดอกไม้ —— ปลูกต้นไม้ในที่ทำงาน —— ใช้ผลิตภัณพ์จากธรรมชาติ —— ไปดูดาวท้องฟ้าจำลอง —— ถอดรองเท้าเดินบนพื้นดิน ทราย หรือหญ้า

8. อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ
อัจฉริยภาพด้านดนตรีและจังหวะช่วยให้เราจำได้แม่น และมองเห็นภาพรวมได้ทั้งหมด…ดนตรี
และจังหวะช่วยจัดระบบคลื่นสมองให้เข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและเหมาะกับการเรียนรู้และการพักผ่อน
กิจกรรมส่งเสริม
ฟังเสียงในสวน —— ร้องเพลงในห้องน้ำ ——ร้องคาราโอเกะ —— เปลี่ยนเนื้อเพลงเล่นสนุก —— เพิ่มไสตล์ หลายแนวเพลง —— เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ คลอระหว่างอ่านหนังสือหรือประชุม —— ฝึกอ่านออกเสียงเป็นจังหวะจะโคน
 
ลองไปฝึกฝนกันนะคะ จะได้มีอัจฉริยภาพกันทุกด้าน หวังว่าคงมีประโยชน์กับทุกคนนะคะ …….